วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

5 เรื่องที่แม่ท้องไม่รู้...ไม่ได้ !

เพราะการตั้งครรภ์แต่ละครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายค่ะ แม่ต้องมีการเตรียมตัว เตรียมใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี และเพื่อให้การตั้งครรภ์ตลอด 9 เดือนเป็นไปอย่างราบรื่น จึงต้องให้ความสำคัญมากๆ กับเรื่องต่อไปนี้ด้วยค่ะ

1. โภชนาการยามท้อง
โภชนาการที่ดีของแม่ท้องย่อมส่งผลดีถึงลูกน้อยในท้องโดยตรงค่ะ เพราะถ้าแม่มีโภชนาการดี ลูกน้อยในท้องก็จะมีสุขภาพดีและแข็งแรงตามไปด้วย มีงานวิจัยออกมาค่ะว่า ในแม่ที่โภชนาการไม่ดี แม้ลูกอาจเติบโตอยู่ในท้องได้อย่างปกติ คลอดก็ปกติ แต่ในระยะยาวสุขภาพร่างกายจะไม่แข็งแรงเท่ากับเด็กที่โภชนาการดีมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เช่น อาจจะมีการเสื่อมของอวัยวะในส่วนต่างๆ เร็วกว่าเวลาอันควรได้ หรืออาจจะมีโรคแทรกอย่างโรคเบาหวาน ทั้งๆ ที่ไม่มีกรรมพันธุ์ นั่นเป็นเพราะในช่วงที่ตับอ่อนของลูกกำลังสร้างนั้น แม่มีโภชนาการที่ไม่ดี ทำให้การสร้างอวัยวะของลูกไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ซึ่ง โภชนาการที่ดีของแม่ก็ไม่มีอะไรยุ่งยากค่ะ เพียงแค่กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละวันรวมถึงในแต่ละมื้อด้วย ไม่ใช่ว่ามื้อนี้กินแต่เนื้อสัตว์ แต่มื้อต่อไปกินผักอย่างเดียว แบบนี้ไม่เกิดประโยชน์ค่ะ เพราะที่สุดแล้วร่างกายจะไม่สามารถดึงส่วนต่างๆ มาประกอบกันได้เลย เหมือนเราจะต่อจิ๊กซอว์ ให้ครบ แต่ชิ้นส่วนส่งมาไม่ครบ ภาพก็ไม่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นจึงควรกินให้ครบในมื้อเดียวกัน เพราะสารอาหารทุกอย่างมีความสำคัญ แต่ต้องกินในปริมาณที่เหมาะสมกับโครงสร้างและน้ำหนักตัวของแม่แต่ละคนนะคะ
ถ้า แม่น้ำหนักตัวน้อย คุณหมออาจให้เพิ่มสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต แต่ถ้าแม่น้ำหนักตัวเริ่มขึ้นมากเกินไป อาจต้องลดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตลงบ้าง โดยสารอาหารหลักที่ต้องเน้นให้มากคือพวกโปรตีน และผักผลไม้ เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการครบถ้วน ส่วนไขมันอย่าคิดว่าไม่มีประโยชน์นะคะ แม่ก็ต้องกินเพราะถ้าไม่กินเลยลูกจะมีพัฒนาการทางสมองที่ไม่ดี เนื่องจากไขมันเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์ประสาท
นอกจากนี้ยังมีสารอาหารบางชนิดที่ทั้งแม่และลูกต้องใช้มากเป็นพิเศษ เช่น โฟลิก ธาตุเหล็ก แคลเซียม โดยเฉพาะโฟลิกนั้น แม่ต้องกินก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1-3 เดือนค่ะ

2. ฝากครรภ์ ห้ามพลาด
การมาฝากครรภ์ทันทีหลังทราบว่าตั้งครรภ์ จะทำให้แม่ทราบถึงวิธีดูแลตัวเอง และการฝากครรภ์จะ ทำให้คุณหมอได้ตรวจดูความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับครรภ์ในแต่ละสัปดาห์ ถ้าแม่สุขภาพแข็งแรงดี การนัดมาตรวจครรภ์อาจจะเว้นระยะออกไปค่ะ
แต่สิ่งสำคัญคือเวลามาฝากครรภ์ แม่ต้องบอกรายละเอียดให้หมด ไม่ว่าจะเป็นโรคประจำตัว หรือประวัติการแท้ง เคยต้องผ่าตัดคลอดมาก่อน หรือเป็นโรคที่มีความเสี่ยงอื่นๆ อย่างเช่น กามโรค และต้องไปพบคุณหมอตามนัดทุกครั้ง
หากต้องเลื่อนนัดฝากครรภ์ ก็ไม่ควรทิ้งระยะห่างมากนะคะ เพราะภาวะแทรกซ้อนอาจจะเกิดขึ้นได้ ยิ่งในช่วงไตรมาสสุดท้าย คุณหมอจะเริ่มนัดถี่ขึ้น เพราะโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนมีสูงกว่าในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2

3. ตรวจคัดกรอง ก็สำคัญ
สามารถตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่ในช่วงเดือนแรกๆ ของการตั้งครรภ์ การ ตรวจร่างกายโดยรวมก็ถือว่าเป็นการตรวจคัดกรองอย่างหนึ่งค่ะ เพื่อดูว่าแม่มีโรคที่สามารถส่งผ่านไปถึงลูกได้หรือไม่ ถ้ามีจะได้ป้องกันเอาไว้ก่อน หรือเพื่อเป็นการประเมินสภาพการตั้งท้องของแม่ว่าจะดำเนินไปได้โดยปลอดภัย หรือไม่ ต้องระวังแค่ไหน บำรุงอย่างไร มีความเสี่ยงต่อสุขภาพแค่ไหน
การ ตรวจคัดกรองจะมีหลายช่วงอายุครรภ์ค่ะ ช่วงเดือนแรกจะมีการเจาะเลือด เพื่อตรวจดูโรค เช่น พวกธาลัสซีเมีย โลหิตจาง (ซึ่งคนไทยเป็นมากพบได้ถึง 1 ใน 3 ) โรคทางเพศสัมพันธ์ ทางกรรมพันธุ์ ไวรัสตับอักเสบบี
พอ อายุครรภ์ 3-4 เดือน จะมีการตรวจคัดกรองโดยการเจาะเลือดไปตรวจว่ามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ จะเกิดฮอร์โมนผิดปกติหรือไม่ หรือในแม่ที่อายุมากก็จะมีการตรวจคัดกรองโรคดาวน์ซินโดรม โดยการเจาะน้ำคร่ำด้วย
ในต่างประเทศจะมีการตรวจคัดกรองโครโมโซมในแม่ตั้งครรภ์ทุก คน ไม่ว่าจะอายุน้อยหรือมาก ซึ่งเป็นผลดี เพราะการตรวจนั้นจะทำให้ทราบถึงความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้แต่เนิ่นๆ ในบ้านเราส่วนมากแล้วจะมีการตรวจคัดกรองโครโมโซมเฉพาะตามโรงพยาบาลที่มี โรงเรียนแพทย์ ซึ่งก็อยากแนะนำแม่ทุกท่านนะคะว่าสามารถขอให้คุณหมอที่ฝากครรภ์ช่วยตรวจคัด กรองโครโมโซมให้เราได้ เพราะการตรวจคัดกรองโครโมโซมนั้นถ้าเราไม่ได้บอกคุณหมอ หรือไม่ใช่แม่ที่มีอายุมากหรือมีความเสี่ยง คุณหมอมักจะไม่ได้ตรวจให้ค่ะ

4. สุขภาพทารกในครรภ์...ต้องดูแล
การดูแลสุขภาพครรภ์ต้องดูแลไปตลอดตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์เลยค่ะ ถ้าแม่มีโภชนาการดี มีการฝากครรภ์สม่ำเสมอ มีการตรวจคัดกรอง ก็อุ่นใจได้ค่ะว่า ลูกที่อยู่ในครรภ์ของเราค่อนข้างจะสมบูรณ์
แต่ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการสังเกตและการเอาใจใส่ตัวเองของแม่ค่ะ เพราะแม่จะมีโอกาสเจอกับคุณหมออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง แต่จำนวนวันที่เหลือคือเวลาที่ลูกอยู่ในท้องกับแม่ แม่จึงเป็นคนเดียวที่จะรับรู้ความเคลื่อนไหวของลูกได้มากที่สุดนะคะ
การ สังเกตก็อย่างเช่นลูกดิ้นดีหรือไม่ สุขภาพแม่แข็งแรง น้ำหนักขึ้นตามปกติ ท้องใหญ่ขึ้นมั้ย หัวใจเต้นดีหรือไม่ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แม่สามารถสังเกตได้เองค่ะ
ซึ่ง ถ้าเมื่อไหร่ที่พบความผิดปกติ เช่น รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลง ดิ้นช้าลง อย่านิ่งนอนใจนะคะ รีบมาพบคุณหมอ เพราะเด็กยังมีโอกาสรอด แต่ถ้ามาตอนลูกไม่ดิ้นแล้ว คุณหมอจะช่วยอะไรไม่ได้ค่ะ เพราะเวลาที่เกิดอันตรายขึ้นกับเด็กในครรภ์ จะมีระยะเวลาที่พอจะช่วยชีวิตลูกได้ คือภายใน 12 ชั่วโมงนับตั้งแต่ลูกดิ้นน้อยลง ถ้ามาในช่วงนั้นลูกก็มีโอกาสรอด เพราะฉะนั้นจึงต้องหมั่นสังเกตในทุกอาการที่เกิดขึ้นช่วงตั้งครรภ์ค่ะ

5. ภาวะแทรกซ้อน...เตรียมรับมือ
ภาวะแทรกซ้อนมีมากมายเลยค่ะ และเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงเดือนแรกๆ ไปจนถึงคลอดหรือหลังคลอด ไม่ว่าจะเป็นการแท้ง ตั้งครรภ์แฝด 3-4 คน การตั้งครรภ์นอก มดลูก แท้งคุกคาม รกเกาะต่ำ เลือดออก ครรภ์เป็นพิษ ไทรอยด์ หรือถ้ามีความเครียดก็จะทำให้คลอดก่อนกำหนด เด็กโตช้า หรือบางคนน้ำหนักขึ้นเยอะ ทำให้เกิดโรคเบาหวานตามมาระหว่างตั้งครรภ์ หรือเกิดครรภ์เป็นพิษ หรือแม้แต่ตอนกำลังคลอดก็อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้เช่นน้ำคร่ำติดเชื้อ มดลูกแตก (ทำให้เสียชีวิตทันที) ตกเลือดหลังคลอด ไส้ติ่งอักเสบ เป็นต้น
ซึ่ง ภาวะแทรกซ้อนเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ค่ะ แต่อาจป้องกันได้ หากแม่ดูแลสุขภาพให้ดี ทำตามคำแนะนำของคุณหมอก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ค่ะ
แต่ อาจจะมีภาวะแทรกซ้อนบางอย่างที่สุดวิสัยจริงๆ ไม่สามารถช่วยเหลือหรือป้องกันได้ อย่างกรณีสายสะดือรัดคอเด็ก ทำให้เด็กเสียชีวิตใน 2-3 นาทีค่ะ หรือเกิดอุบัติเหตุแบบเฉียบพลัน เช่น ตกบันได ตกจากรถมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น ซึ่งแม่ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากค่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น

 คุณแม่สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.momypedia.com/knowledge/pregnancy/detail.aspx?no=27150
ขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.momypedia.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น