ารเติบโตของทารกในครรภ์สัปดาห์ที่ 10 หรือสัปดาห์ที่ 12ของการตั้งครรภ์ ซึ่งยอดของมดลูกเริ่มคลำได้ที่เหนือกระดูกหัวหน่าว ความยาวของทารกจากศีรษะถึงก้น (Crown-rump length) จะยาวประมาณ 6-7 ซม. เริ่มมีการ สร้างเนื้อกระดูก (ossification) การพัฒนาของนิ้วมือและเท้า ผิวหนัง เล็บและเส้นขน อวัยวะเพศภายนอกเริ่มแยกได้ว่าเป็นเพศชายหรือหญิง ระยะนี้เองที่ทารกเริ่มมีการเคลื่อนไหวและเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้อีกก็ คือ...น้ำคร่ำ
น้ำคร่ำจะปราศจากสี แต่ค่อนข้างขุ่นเมื่อครรภ์ใกล้ ครบกำหนด เนื่องจากเซลล์ผิวหนังที่หลุดออกมา ไขและขนอ่อนมีมากขึ้น น้ำคร่ำมีความถ่วงจำเพาะ 1.008 แหล่งที่ผลิตน้ำคร่ำนั้นแตกต่างกันตามอายุครรภ์ครับ
ในระยะไตรมาสแรกหรือช่วง 12 สัปดาห์แรก น้ำคร่ำเกิดจากการซึมผ่านของเหลวในเลือดของคุณแม่
ในไตรมาสที่สอง เกิดจากการซึมผ่านของน้ำ ส่วนนอกเซลล์ของทารก ผ่านผิวหนังออกมา
หลังจากอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ น้ำคร่ำจะมาจากปัสสาวะของทารก และส่วนน้อยมาจากของเหลวจากปอดของทารก และของเหลวที่ซึมออกจากรก
ปริมาณของน้ำคร่ำจะเปลี่ยนแปลงตามอายุครรภ์ครับ ปริมาณน้ำคร่ำเพิ่ม 10 มล. ต่อสัปดาห์ ตั้งแต่อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ และเพิ่มสูงถึง 60 มล. ต่อสัปดาห์ เมื่ออายุครรภ์ 21 สัปดาห์
สำหรับคุณแม่ที่ต้องเจาะน้ำคร่ำจะอยู่ในช่วงอายุครรภ์ระหว่าง 16 ถึง 20 สัปดาห์นั้น โดยปกติข้อบ่งชี้มักจะอยู่ในกลุ่มที่คุณแม่อายุเกิน 35 ปี และกลุ่มที่มีข้อบ่งชี้อื่นๆ เช่น กลุ่มที่มีประวัติเคยคลอดทารกที่มีโครโมโซมผิดปกติ
สูติแพทย์จะเจาะน้ำคร่ำปริมาณ 20 มล. เพื่อนำไปเพาะเลี้ยงเซลล์เพื่อตรวจโครโมโซมว่ามีคู่ไหนที่ผิดปกติ หลังจากอายุครรภ์ 21 สัปดาห์ การเพิ่มของน้ำคร่ำจะเริ่มลดลง จนมีปริมาณคงที่ที่อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ ปริมาณของน้ำคร่ำจะเพิ่มจาก 50 มล. ที่ 12 สัปดาห์ เป็น 400 มล. ที่ 20 สัปดาห์และเพิ่มเป็น 1,000 มล. เมื่อครบกำหนด
น้ำคร่ำทำหน้าที่ป้องกันทารกจากแรงกระแทกภายนอก และทำให้ทารกมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตและเคลื่อนไหว น้ำคร่ำช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ในน้ำคร่ำมีสารอาหารเพียงเล็กน้อย และน้ำคร่ำมีโปรตีนหลายชนิด ซึ่งเชื่อว่ามีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของทารก เพราะว่าน้ำคร่ำมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาของปอดและลำไส้ ทารกที่มีน้ำคร่ำน้อยมักเกิดปัญหาปอดไม่พัฒนาเลือด
ระบบไหลเวียนเลือดของทารกในครรภ์ จะมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากทารกแรกเกิด ที่สายสะดือของทารกจะ มีเส้นเลือดแดง 2 เส้น โดยนำเลือดดำไหลเข้าไปฟอกในรก ส่วนเลือดแดงซึ่งมีออกซิเจนสูงจะไหลจากรก ผ่านเส้นเลือดซึ่งมีเพียงเส้นเดียวเข้าสู่ร่างกายทารก
เลือดที่มีออกซิเจนสูง จะไหลเข้าที่หัวใจด้านบนห้องขวา แล้วไหลเข้าที่หัวใจด้านบนห้องซ้าย เพื่อไปหล่อเลี้ยงหัวใจและสมองของทารก
เลือดที่มีออกซิเจนต่ำ จะไหลเข้าสู่หัวใจด้านบนห้องขวา และไหลผ่านลิ้นหัวใจเข้าสู่ห้องหัวใจห้องล่างด้านขวา
ส่วนการสร้างเม็ดเลือดจะเริ่มปรากฏใน yolk sac (ของเหลวที่ทำหน้าที่ส่งอาหาร) จากนั้นเปลี่ยนมาที่ตับและไขกระดูกในที่สุด การสร้างเม็ดเลือดแดงควบคุมโดยสารต้นกำเนิดเม็ดเลือดแดง (erythropoietin) ของทารกซึ่งสร้างจากตับในช่วงแรก และเปลี่ยนมาเป็นที่ไตในช่วงหลัง
ระดับของเม็ดเลือดแดงจะเพิ่มขึ้นตามอายุครรภ์จาก 12 กรัม/ดล. ที่ 20 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์เป็น 18 กรัม/ดล. ปริมาณของเลือดทารกเมื่อครรภ์ครบกำหนดมีประมาณ 78 มล. ต่อน้ำหนักทารก 1 กก. และปริมาณของเลือดในรกมีประมาณ 45 มล. ต่อน้ำหนักทารก 1 กก.
เม็ดเลือดแดงของทารกสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้มากกว่าผู้ใหญ่ เพื่อให้สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายได้ดีนั่นเองครับ
อาหารของตัวอ่อน
เนื่องจากไข่มนุษย์มีไข่แดงปริมาณน้อย ตัวอ่อนในช่วงแรกของการตั้งครรภ์จึงต้องอาศัยอาหารจากคุณแม่ครับ
ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการปฏิสนธิ ตัวอ่อนได้อาหารจากของเหลวในชั้นเยื่อบุโพรงมดลูก
ในสัปดาห์ที่ 2 หลังการปฏิสนธิ ตัวอ่อนได้อาหารจากคุณแม่โดยการซึมผ่านของเลือด ผ่านช่องว่างระหว่างชั้นเยื่อบุโพรงมดลูก
ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ 3 หลังการปฏิสนธิ ระบบไหลเวียนเลือดทำงาน ตัวอ่อนจึงได้รับอาหารจากการแลกเปลี่ยนกับเลือดคุณแม่ผ่านรก
คุณ แม่จะใช้ตับ กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อไขมัน เก็บสะสมอาหารไว้ในร่างกาย โดยการควบคุมของอินซูลิน (insulin) กลูโคสจะเปลี่ยนเป็นสารที่เรียกว่าไกลโคเจน (glycogen) สะสมไว้ในตับและกล้ามเนื้อ กรดอะมิโน (โปรตีน) บางส่วนจะเก็บสะสมเป็นโปรตีน และไขมันส่วนเกินจะถูกเก็บสะสมไว้
กลูโคสเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต และให้พลังงานแก่ลูกน้อยในครรภ์ การแลกเปลี่ยนกลูโคสในรกใช้กลไก โดยมีตัวช่วยส่งผ่านกลูโคสในรกที่เรียกว่า glucose transport protein เป็นตัวช่วยส่งผ่านกลูโคสเข้าสู่ลูกน้อย การที่ทารกบางรายมีขนาดใหญ่กว่าปกติ (fetal macrosomia) เช่นที่พบในทารกที่มารดาเป็นเบาหวาน เชื่อว่าเกิดจากภาวะฮอร์โมนอินซูลินในเลือดสูงครับ
คุณแม่ทั้งหลายสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.momypedia.com/knowledge/pregnancy/detail.aspx?no=11422
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.momypedia.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น