วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ให้มือน้อยๆ ได้ปั้นโลกบ้าง

คุณแม่ตั้งครรภ์มาอ่านกันค่ะ
ด็ก...มิใช่เพียงความว่างเปล่าที่ต้องรอให้ผู้ใหญ่คอยแต่ง เติมสิ่งต่างๆให้เท่านั้นค่ะ แต่เขาสามารถเลือก ที่จะเรียนรู้และจดจำสิ่งที่สนใจ...ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ดิฉันมีลูก เมื่ออายุกว่า 40 แล้ว ตอนตั้งครรภ์คนที่รู้จักมักคุ้นกัน จะทักด้วยความห่วงใยว่า อายุปูนนี้มีท้องเสี่ยงนะ เสี่ยงทั้งแม่และลูกในท้อง ไม่ใช่ดิฉันจะไม่รู้ความเสี่ยงนี้ แต่ความต้องการมีลูกนั้นบดบังความกลัวเสียสิ้น ซึ่งนั่นก็คงเป็นสัญชาติญาณของความเป็นแม่ที่มีอยู่ในผู้หญิงทุกคน

ประสบการณ์ ที่ดิฉันคิดว่าเพศแม่หลายๆ คนควรจะได้รับ แม้เป็นผู้อยู่ในวัยเสี่ยง นั่นก็คือ การได้คลอดลูกอย่างปกติธรรมชาติ ดิฉันโชคดีที่ได้รับความสนับสนุนช่วยเหลืออย่างดียิ่งจากคุณหมอผู้รับฝาก ท้อง

เมื่อถึงเวลาคลอด ดิฉันไม่ได้ฉีดยาชาหรือให้หมอบล็อคหลังเพื่อระงับความเจ็บปวด ความเจ็บปวดระหว่างคลอด ทำให้ระลึกถึงแม่ และซาบซึ้งในความรักของแม่มากขึ้น ได้รู้สึกถึงความผูกพันระหว่างแม่-ลูก ความทุรนทุรายของเจ้าตัวเล็กที่กำลังพรากจากโลกมืดอันอบอุ่นในท้องแม่ สู่โลกใหม่ภายนอก แม้สายสะดือของลูกจะถูกตัดขาดไป แต่สายสัมพันธ์อันล้ำลึกได้ก่อกำเนิดขึ้น คงคล้ายกับความรู้สึกของคู่หูผู้ผ่านความเป็นความตายของสงครามมาด้วยกัน

นี่ถ้าหากดิฉันถูกวางยาชาหรือวางยาสลบในระหว่างผ่าตัด ประสบการณ์และความรู้สึกอันล้ำลึกดังกล่าวคงขาดหายไปอย่างน่าเสียดาย

เพื่อนๆ พอรู้ว่าดิฉันคลอดโดยไม่ผ่าตัด ต่างพากันประหลาดใจว่าเป็นไปได้อย่างไร บ้างก็ทำท่ายกนิ้วหัวแม่มือให้ว่านายแน่มาก แต่ดิฉันคิดว่าการคลอดโดยวิธีปกติน่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับผู้หญิงทั่ว ไป มิใช่กรณียกเว้น

อีกปรารถนาหนึ่งที่สัญชาติญาณแม่ในตัวดิฉัน เรียกร้อง คือการได้เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมของตนเอง ตอนแรกดิฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่ามีปัญหา แต่เมื่อพยาบาลนำลูกมาให้เพื่อกินนมแม่ ปรากฏว่ามีน้ำนมเพียงไม่กี่หยด ดิฉันรู้สึกกังวลใจมากว่าจะไม่มีน้ำนมพอเลี้ยงลูก ดังนั้นระหว่างอยู่โรงพยาบาลลูกจึงรับแต่นมผสม

เพื่อนคนหนึ่งของ ดิฉันให้กำลังใจว่าอย่าท้อถอย เพราะตัวเธอเองก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน แต่ก็พยายามให้ลูกของเธอดูดนมจนมีน้ำนมไหลออกมาตามปกติ เมื่อกลับมาอยู่บ้าน ดิฉันก็ทำตามคำแนะนำของเพื่อน ทีแรกก็เกือบจะท้อถอยเหมือนกันแต่ลูกก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แม้เขาจะติดรสชาติของนมผสมจากโรงพยาบาลแล้วก็ตาม เมื่อให้เขาดูดนมแม่ เขาก็ตั้งใจดูดอยู่นาน แม้จะมีนมเพียงเล็กน้อย

ในที่สุดการดูดบ่อยๆ ของลูกก็ช่วยกระตุ้นให้น้ำนมไหลออกมา ดูเหมือนจะใช้เวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์ ดิฉันเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเวลา 9 เดือนครึ่ง โดยมีนมผสมช่วยเสริมน้อยมาก

ช่วง เวลาที่เลี้ยงลูกด้วยนมของตนเอง นับเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต ไม่เพียงคุณค่าทางอาหารและภูมิคุ้มกันโรคที่ลูกได้จากน้ำนมแม่เท่านั้น แต่ทั้งแม่และลูกได้สัมผัสไออุ่นของกันและกัน สายตาของลูกน้อยที่ประสานสายตาแม่ขณะดูดดื่มนม เป็นสื่อรักที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าภาษาพูด

ดิฉันชอบพุทธวัจนะบทหนึ่งที่ ว่า "มารดารักถนอมลูกคนเดียวของตนเช่นไร พึงรักถนอมชีวิตทั้งปวงเช่นนั้น" และยังทรงบอกด้วยว่า "คถาคตเมตตาพระเทวทัตเช่นเดียวกับเมตตาพระราหุล"

ดิฉัน เพิ่งมารู้สึกจับใจในพุทธวัจนะนี้จริงๆ ก็ตอนมีลูกเองนี่แหละ ความรู้สึกรักถนอมลูกคนเดียวเป็นเช่นไร คุณแม่ทั้งหลายที่มีลูกโทนคงซาบซึ้งดี ก็คงไม่ต่างจากความรู้สึกของพระพุทธเจ้าที่ทรงมีต่อพระโอรสองค์เดียวของ พระองค์กระมัง

แต่การรักคนอื่นเหมือนรักลูกตัวเอง อาจจะเป็นศักยภาพที่เหลือวิสัยสำหรับตนเองในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ดิฉันก็เห็นด้วยกับพระพุทธเจ้าอย่างยิ่งที่ทรงใช้ความรักที่แม่มีต่อลูก เป็นต้นแบบของความรักสากลที่สามารถสัมผัสได้

และถ้ามองจากอีกด้าน หนึ่ง ความรักที่ลูกมีต่อแม่ก็เป็นความรักที่มีคุณค่าไม่แพ้กัน ผู้ใหญ่มักจะเข้าใจว่าเด็กเล็กๆ นั้นเป็นฝ่ายต้องการความรัก ความเอาใจใส่แต่ถ่ายเดียว ยังให้ความรักใครไม่เป็น สำหรับตัวเองมิได้เข้าใจเช่นนั้นแล้ว เมื่อสัมผัสความรักที่ลูกมีต่อเรา จากสายตาที่เขามองดูเราขณะกำลังดูดดื่มนมจากอกของเรา ตอนนั้นเขามีอายุไม่กี่เดือน ตอนนี้เขามีอายุครบ 4 ขวบแล้ว เวลาตื่นนอนบาง เช้าลูกจะมากอดเราแล้วบอกว่า

"ขวัญรักแม่ ขวัญคิดถึงแม่" เพราะเขารู้ว่าทุกเช้าเราต้องจากกัน แม่ไปทำงาน ลูกไปเรียนหนังสือ 


 คุณแม่สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.momypedia.com/knowledge/pregnancy/detail.aspx?no=1437
ขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.momypedia.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น