วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

ความเชื่อผิดเกี่ยวกับการตั้งครรภ์

ความเชื่อแต่โบร่ำโบราณ
เริ่มตั้งแต่พออยากจะมีลูกก็ต้องไปบนบานศาลกล่าวขอลูกกับหลวงพ่อหรือศาล เจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พอกราบไหว้หลวงพ่อเสร็จก็คงสบายใจ รังไข่เลยทำงานดี ทำให้ ท้องสมใจ หลวงพ่อวัดนั้นก็เลยดังไม่รู้เรื่อง มีผู้คนไปกราบไหว้ขอลูกกันเป็นแถว ทั้งๆ ที่ตัวการที่ทำให้มีลูกสมใจก็คือสามีที่บ้านนั่นแหละครับ ไม่ใช่หลวงพ่อที่ไหนหรอก

บางรายเชื่อว่าถ้าได้ไปลอด
ท้องช้างแล้วจะมีลูกและอายุยืนยาวซะด้วย เกิดบังเอิญวันนั้นช้างตกมัน อารมณ์หงุดหงิด ก็เลยถูกช้างเหยียบแบนแต๊ดแต๋ อายุสั้นหมดโอกาสจะมีลูก แถมได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ มาดังเอาตอนตายนี่เอง

พอเริ่ม
ตั้งครรภ์คนโบราณก็ห้ามทำบาป เช่น ฆ่าสัตว์ ตกปลา และห้ามไปงานศพ เพราะกลัวจะทำให้จิตใจไม่สบาย เดี๋ยวลูกจะไม่แข็งแรง ตามต่างจังหวัดบางแห่ง พอเริ่มตั้งครรภ์ก็จะมีการทำพิธีผูกข้อมือด้วยด้ายหรือสายสิญจน์ โดยเชื่อว่าจะคุ้มครองลูกในท้องให้ปลอดภัย แคล้วคลาดจากภูติผีปีศาจและอันตรายทั้งปวง ปัจจุบันนี้ก็ยังพบได้พอสมควรที่ เวลามาคลอดมีสายสิญจน์หรือด้ายผูกข้อมือแม่มาด้วย
ความเชื่อเรื่องอาหารการกิน
เรื่องอาหารการกินสำหรับคนท้องก็มีความเชื่อแตกต่างกันไป บางแห่งห้ามกินเนื้อสัตว์และไข่ ถ้าคุณแม่เชื่ออย่างนี้ ลูกก็คงคลอดออกมาตัวเล็กนิดเดียว เพราะขาดโปรตีนซึ่งเป็นอาหารหลักที่ช่วยในการเจริญเติบโต บางคนก็เชื่อว่าถ้าอยากให้ลูกมีผิวขาวห้ามกินอาหารที่มีสีดำ เช่น เฉาก๊วย โอเลี้ยง เป็นต้น ผมเห็นแม่ค้าเฉาก๊วยในตลาดกินเฉาก๊วยทุกวัน ลูกก็ผิวขาวทุกคน ก็ทั้งพ่อและแม่เป็นคนจีนทั้งคู่ ยังไงๆ ลูกก็ต้องผิวขาวอยู่แล้ว แต่ถ้าพ่อแม่เป็นนิโกร ถึงจะดื่มนมสดทุกวันลูกก็ต้องผิวดำอยู่ดี สรุปก็คือจะดำหรือขาวอยู่ที่พันธุกรรมมากกว่าครับ

บางรายเชื่อว่าถ้าให้แม่ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนมากๆ จะทำให้ลูกมีผิวสวยและช่วยล้างไขตามตัวออกด้วย ความจริงไขตามตัวเด็กจะหลุดลอกออกไปเองเมื่อครบกำหนดคลอด แต่ถ้าเด็ก
คลอดก่อนกำหนดมากๆ จะมีไขขาวๆ ติดตามผิวหนังทั่วตัว เพราะไขยังไม่ทันหลุด ลอกก็คลอดซะก่อนแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมะพร้าวสักหน่อย
ว่าด้วยสะดือ เพศ และเพศสัมพันธ์!

เรื่องเพศของลูกก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนอยากรู้ทั้งนั้น ในสมัยก่อนยังไม่มีเครื่องอัลตร้าซาวนด์ก็มีการทำนายเพศกันล่วงหน้าโดยการดูลักษณะของสะดือแม่ ถ้าสะดือหงายก็เป็นชาย สะดือคว่ำก็เป็นหญิง ปัจจุบันก็ยังมีความเชื่อเรื่องนี้อยู่เยอะทีเดียวครับ ตอนลูกผมใกล้คลอด ผมยังพูดเล่นๆ กับภรรยาเลยว่าสงสัยลูกเราคงเป็นกระเทย เพราะสะดือของภรรยาแบนราบไม่คว่ำไม่หงาย ก็เลยกลายเป็นเพศกำกวม บอกไม่ได้ว่าจะเป็นเพศอะไร กันแน่

เรื่องเพศสัมพันธ์ก็เป็นอีกเรื่องที่สามีภรรยาจำนวนมากมีความเชื่อผิดๆ ว่าต้องงดเด็ดขาดหลังจาก
ตั้งครรภ์แล้ว เพราะอาจทำให้ลูกแท้งหรือพิการได้ ผลก็คือสามีแอบไปผ่อนคลายนอกบ้าน มีภรรยาน้อย หรือติดเอดส์มาก็ตอนภรรยาตั้งครรภ์นี่แหละ

ผมเจอคนไข้ที่มา
ฝากครรภ์หลายรายทีเดียวที่พอถามถึงสามีก็ได้รับคำตอบว่า พอตั้งครรภ์ได้ไม่นานสามีก็แยกทางกัน แล้วก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่แน่ใจว่าเพราะสาเหตุนี้หรือเปล่า...ที่จริงแล้ว การตั้งครรภ์ไม่ใช่ข้อห้ามสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ สามารถมีได้ตามปกติ เพียงแต่ควรปฏิบัติด้วยความนุ่มนวลและหลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณมดลูกเท่านั้น

ท่าที่เหมาะสมที่ทางการแพทย์แนะนำก็คือสามีอยู่ด้านหลังภรรยา หรือภรรยาเป็นฝ่ายอยู่ด้านบน และควรงดในเดือนสุดท้ายก่อนคลอดเพราะภรรยาคงจะอึดอัดแน่น
ท้องมากแล้ว และเพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด สำหรับในช่วงแรกถ้าภรรยามีอาการแพ้ท้องมาก ก็ควรงดเช่นกัน เพราะร่างกายกำลังอ่อนเพลียมากคงต้องการการพักผ่อนมากกว่า


ยาบำรุงทำให้อ้วน?

คุณแม่หลายรายเวลามาตรวจครรภ์ ผมถามว่ายาบำรุงหมดหรือยัง คำตอบที่ได้ก็คือยังเหลืออีกเยอะ แล้วก็เป็นอย่างนี้ทุกทีทั้งๆ ที่ผมก็ให้ยาไปนิดเดียว พอถามว่าทำไมถึงไม่กินยา ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่ากลัวอ้วน เพราะเคยเห็นญาติที่มาฝากครรภ์กินยาบำรุงที่ หมอให้ไปแล้วอ้วนมาก ก็เลยเชื่อว่าคงจะอ้วนเพราะยาบำรุงแน่ๆ...

นี่ก็เป็นความเชื่อที่ผิดอีกเช่นกัน ยาบำรุงที่ได้รับตอน
ฝากครรภ์จะเป็นยาบำรุงจำพวกเหล็กและวิตามินที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ ช่วยทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงดีขึ้น เป็นผลดีต่อตัวคุณและทารกในครรภ์โดยตรง ไม่ได้ทำให้อ้วนแม้แต่น้อย แต่ที่เห็นอ้วนๆ กันนั้นเป็นผลมาจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายอมน้ำได้มากขึ้น เนื้อหนังจึงดูเต่งตึงกว่าปกติ นอกจากนี้คนท้องจะเจริญอาหาร ทำให้กินเก่ง กินบ่อย และนอนหลับง่ายขึ้น ก็เลยอ้วนได้ง่าย

เพราะฉะนั้นเวลามาฝากท้อง ยาบำรุงที่ได้รับมาต้องกินอย่างสม่ำเสมอนะครับ ถ้าไม่อยากอ้วนมากก็ใช้วิธีควบคุมอาหารเอาแล้วกัน

คุณแม่ทั้งหลายสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.momypedia.com/knowledge/pregnancy/detail.aspx?no=512
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.momypedia.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น